Page 9 - เรื่อง วัสดุวัฒนธรรม ปูนโบราณ จิตรกรรมฝาผนัง และอาณาจักรทวารวดี
P. 9

5



               หมักไปผสมกับทราย เส้นใย และกาว น าไปปั้นเป็นลวดลายต่างๆ ใช้ในการประดับตกแต่งสถาปัตยกรรม
               เรียกว่า ปูนปั้น (Stucco)

                    ในปัจจุบันพบว่ามีการศึกษาคุณสมบัติของปูนที่จะน าไปใช้ในการอนุรักษ์นั้นน้อยมากและ  ยังไม่มี
               มาตรฐานที่แน่นอน บางกรณีพบว่ามีการผสมปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์ หรือซีเมนต์ขาวเข้าไปในเนื้อปูนใน

                                    ื่
               ปริมาณที่แตกต่างกันเพอให้ปูนแข็งตัวได้เร็วขึ้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้ก่อให้เกิดผลเสียต่อทั้งงานสถาปัตยกรรมและ
               ประติมากรรมโบราณ ดังนั้นในงานศึกษาครั้งนี้จึงมุ่งเน้นให้ได้ปูนที่มีคุณสมบัติที่เหมาะสมต่อการด าเนินงาน
               อนุรักษ์

                    ปูนโบราณนั้นมีด้วยกันหลากหลายชนิด ซึ่งปูนโดยส่วนใหญ่ท าหน้าที่เป็นวัสดุเชื่อมประสาน ใช้ส าหรับ
               ก่อสร้างอาคารโบราณสถานหรือประติมากรรมประเภทต่างๆ นอกจากนี้ปูนโบราณยังสามารถใช้ในการตกแต่ง

               ผิวภายนอกแทนการใช้สีในปัจจุบัน โดยสามารถแบ่งประเภทของปูนโบราณตามลักษณะการใช้งานได้ทั้งหมด

               3 ประเภทดังต่อไปนี้
                    1. ปูนปั้น (Stucco) เป็นวัตถุดิบที่ได้จากการน าปูนหมัก ผสมกับทราย เส้นใยกระดาษและน้ ากาว

               ประสาน โดยมีอัตราส่วนโดยน้ าหนักของปูนขาว (CaO) 43%  ทราย 22%  เส้นใยกระดาษ 5 % กาวหรือตัว

               ประสาน 30 % ผสมวัสดุต่างๆให้เข้ากันโดยการต าหรือโขลก บางครั้งช่างจึงเรียกปูนชนิดนี้ว่า “ปูนต า” โดย
               ปูนปั้นจะแข็งตัวเมื่อท าปฏิกิริยากับแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศ เกิดเป็น CaCO
                                                                                     3
                                                                                        ิ
                    2. ปูนสอ (Mortar) หรือปูนก่อ คือปูนขาวที่ผสมกับทราย ใช้ส าหรับเชื่อมประสานอฐหรือหิน ที่ใช้ในการ
                                                                                         ิ่
                                                                       ้
                                                                                   ื่
               ก่อสร้างผนังหรือพื้น ในบางที่จะมีการผสมกาวหนังสัตว์หรือหรือน้ าออยไปด้วย เพอช่วยเพมความแข็งแรงของ
               การเชื่อมประสานนั้น
                    3. ปูนฉาบ (Plaster) ปูนฉาบที่ใช้ในการอนุรักษ์โบราณสถานเกิดจากส่วนผสมของปูนหมักและทรายตาม
                                     ั
                 ั
               อตราส่วนของแต่ละชั้น อตราส่วนผสมระหว่างปูนหมักกับทรายนั้น สามารถแบ่งออกได้ 2  อตราส่วน ส่วนที่
                                                                                             ั
                                                                                                        ิ่
                                               ื่
               หนึ่งใช้ส่วนผสม 2:5  โดยปริมาตร เพอเป็นปูนฉาบ ส่วนปูนส่วนที่สอง ส าหรับใช้ฉาบผิวนอกสุดนั้นต้องเพม
               ส่วนผสมคือกระดาษสาหรือกระดาษฟาง ต าให้เข้ากัน
                                                                                         ้
                      3.1 ปูนฉาบชั้นใน มีการผสมกาวหนังสัตว์ และบางครั้งอาจจะผสมด้วยหัวน้ าออย การฉาบจะฉาบ
               อย่างน้อย 3 ชั้น ปูนชั้นในและชั้นกลางใช้ส่วนผสมปูนต่อทราย คือ 2 : 5 โดยปริมาตร ส่วนชั้นนอกใช้ส่วนผสม
               ที่ 1 : 3 โดยปริมาตร ความหนาของปูนฉาบแต่ละชั้นอยู่ระหว่าง 9-20 มิลลิเมตร มักจะมีการขัดให้พนผิวปูน
                                                                                                   ื้
               หยาบเพอช่วยเรื่องการเกาะตัว ปูนฉาบจะหดตัวค่อนข้างมาก เพราะฉะนั้นมักจะต้องใช้น้ าฉีดพรมเล็กน้อย
                       ื่
               เพื่อไม่ให้ปูนฉาบแห้งเร็วเกินไป
                      3.2 ปูนฉาบชั้นนอกสุด หรือที่เรียกว่า ปูนต า จะเป็นปูนที่ผสมด้วยกระดาษและกาว โดยการใช้งานจะ

               ค่อยฉาบปูนที่ละพื้นที่ แล้วขัดด้วยเกรียงเหล็กขนาดเล็ก กดให้ปูนแนบกับผนังปูนฉาบชั้นนอกให้แน่น แล้วขัด

               ผิวให้มันจนกระทั่งเสร็จทั่วผนัง ความหนาของผิวปูนต าเพียง 2-3 มิลลิเมตรเท่านั้น
   4   5   6   7   8   9   10   11   12   13   14